วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

ม.เชียงใหม่

10 เรื่องสยองขวัญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด
เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก
ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ
ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว
แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ
หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที
ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ
ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา
”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….”
และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
“ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด”
นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป
รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี
นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ
แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก
แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว….
ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน
หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด
เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก
ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ
ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว
แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ
หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที
ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ
ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา
”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….”
และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
“ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด”
นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป
รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี
นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ
แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก
แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว….
ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน
หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
เรื่องที่ 2: เปรตหอนาฬิกา
อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่า เรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง เวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง
เล่ากันว่าตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ
แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆ ก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆ กันใครอยากรู้ก็ลองดู
อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆ เล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า
เรื่องที่ 3: ห้องสีชมพู
เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วได้เสียกับผู้ชาย เกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท
ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี
หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง)
เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆ ติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป
จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพูไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ
หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้
เรื่องที่ 4: ห้องน้ำคณะสังคม
ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆ หน่อยลองไปหาดูเอาเอง ลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทางขวา
รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง) ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา
ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างใน ตอนฉี่ก็ ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจก ภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก! (หันหลังให้) นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร
แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน
เรื่องที่ 5: ถนนขึ้นดอยสุเทพ
สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร) อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืนมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)
วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน ซ้อนก็นั่งไป เมาๆ ขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้)
ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไม mungไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?”
คนขับ “gu ไม่จอดด้วยหรอก คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้า mung กะ gu ก็เจอเขาอีกแหละ...”
เรื่องที่ 6: วงเวียนธรณี
วงเวียนธรณี - ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย) จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง ข้างตึกอังกฤษ
เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆ บอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้ว หันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส้นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....
เรื่องที่ 7: ก๊อกน้ำนิติเวช
อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆ ก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก๊อกน้ำข้างตึก ก็ไปล้างมือที่นั่น ตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้าตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร
คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึก แล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไร อีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!
เรื่องที่ 8: ห้องแลปฟิสิกส์
แลปฟิสิกส์ – อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่า (น่าจะ เป็นตึกฟิสิกส์) แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง
คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันแล้ว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มา แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ
เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง
ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ท เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต
เรื่องที่ 9: ทางเดินคณะวิศวะ
ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ 5 ชาย วันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไร ไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่
ก็ตอบว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร่ เค้าก็ตอบว่าเก้า (ไปเลข 9)
คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออก แล้วรีบกลับมาที่หอ มีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆ ตรงทางเดินน่ะนะ
เรื่องที่ 10: หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนักศึกษาชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ
เวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิด เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน…
เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ…. เขาไม่เห็นใครคนอื่นเลย
เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่…. พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง…. นศ. คิดในใจ
ทันใดนั้นเอง นศ. ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย…. เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา….!! เขาเหมือนลอย… เข้ามา มากกว่า
ในใจของ นศ. รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็…ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ. สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ …!! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ. ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัวและสัมผัสได้ถึงความเย็น
หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ. ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว…. ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มายัง นศ. แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้
ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว…. นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย

โทรศัพท์สยอง

โทรศัพท์สยอง

เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!
โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ! "โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!

สยองขวัญ

เรื่อง ฝรั่งเจอนางตะเคียนที่เสาตกน้ำมัน...

     ใครจะไปคิดล่ะว่า เกิดมาทั้งที จะมีโอกาสได้เจอผีกับเขา โอ๊ย! ไม่ต้องแหกอก ปลิ้นตาหลอก ขนาดในหนังหรอกนะ แค่ที่เจอจะจะเนี่ยหัวใจก็จะวายแล้ว ผมบนหัวจะชี้ตั้งอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เจลทาผมชนิดแข็งพิเศษหรอก เปลืองตังค์เปล่าๆ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า สมัยโน้น ตั้งแต่ 40 ปีมาแล้ว ช่วงนั้นจะมีทหารอเมริกันมาตั้ง ฐานทัพในไทย และละแวกบ้านที่อยู่ ก็มีบ้านให้ฝรั่งเช่าอยู่กับเมียคนไทย บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ใต้ถุนโล่ง เป็นลานดิน ชั้นบนก็มีอยู่ 3 ห้องนอน แต่ห้องกลางนี่สิ มีอะไรพิเศษไม่เหมือน   ชาวบ้านเขาล่ะ ก็พิเศษสุดตรงเสาตกน้ำมันนี่แหละ เฮี้ยนดีนัก ฝรั่งก็ฝรั่งเถอะ เจอผีสาวไทย เข้าไปแล้วเป็นไงล่ะ
   เชื่อมั้ยล่ะว่ามีผีจริง อ๊ะ อ๊ะ! อย่าลบหลู่เชียวนะ ท่านผู้อ่าน ของอย่างนี้ไม่เจอกับตัวเอง ว่ากันไม่ได้หรอกนะท่าน วันหนึ่ง นายฝรั่งคนนี้ก็นอนหลับ พักผ่อนอยู่ในห้องนอน ก็ห้องที่มีเสาตะเคียนตกน้ำมันนั่นแหละค่ะ ขณะกำลังเคลิ้มๆ ก็เห็นสาวสวยนางหนึ่ง ผมยาวประหลัง แต่งองค์ทรงเครื่องก็ไม่เหมือนคนในสมัยนี้ เอาเสียเลย นางเดินออกมาจากเสาต้นนั้น แล้วมาหยุดที่เตียงนายฝรั่ง แล้วก็พูด กับนายฝรั่งคนนี้ว่า ชอบนายฝรั่งคนนี้มาก แล้วก็ก้มลงจูบนายฝรั่งคนนี้อย่างแสนรักและดูดดื่ม ซึ่งอิฉันเอง ก็ไม่ทราบว่าจะมีตอนต่อไปอย่างไร เพราะคนเล่าเอง ก็คงจะเมื่อยปากที่จะเล่าต่อ ก็จะไม่เมื่อยได้ยังไงกันล่ะคะ ก็พ่อฝรั่งคนนี้โดนนางตะเคียนจูบ จนปากเบี้ยวผิดรูปซะขนาดนั้นน่ะ เฮ้อ เห็นแล้วก็สงสารพ่อฝรั่งนายนี้จัง เสน่ห์แรงนัก จนนางตะเคียนอดที่จะหลงรักไม่ได้ ก็ลำบากแม่อิฉันล่ะค่ะ ที่ต้อง ไปดั้นด้นค้นหาพ่อหมอมาทำพิธีไสยศาสตร์ แก้ให้นายฝรั่งคนนี้หายปากเบี้ยวผิดรูปเสียทีและก็ทำพิธีลงยันต์คาถาอาคมแปะไว้ ที่เสาตกน้ำมันต้นนั้นซะ เพื่อความสบายใจของผู้อยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหนนะคะ ยังคงมาโผล่ วับๆ แวมๆ ให้นายฝรั่งคนนี้ ต๊กกะใจเล่นๆ งั้นแหละ จนในที่สุด นายฝรั่งคนนี้ ทนพิษรักที่นางตะเคียน ตกน้ำมันตนนี้มีต่อตัวเองไม่ไหว ก็เลยอัปเปหิตัวเองออกไปจากบ้านหลังนั้น ซะเลย หนุ่มๆ แก่ๆ แถวบ้านอิฉันน่ะ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชักอยากจะเจอ นางตะเคียนตนนี้เสียแล้วสิ พูดง่ายๆ ก็คือ อยากลองของนั่นแหละค่ะ แต่แหม อิฉันเอง ก็ไม่ได้ปากพล่อยหรืออยากจะลองของ ลองดีอะไรกับแม่ตะเคียนเล้ย..ย! ทำไม ถึงคิดเอ็นดูเด็กๆ อย่างอิฉันได้ก็ไม่รู้สิ ปกติทุกคืน อิฉันจะลุกมาเข้า ห้องน้ำเพื่อทำธุระหนักเบา
   คืนนั้นน่ะ ดึกโขอยู่ อิฉันเองปวดฉี่มาก ก็เปิดประตู ห้องนอน เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ถัดไป แถวชานบ้าน ซึ่งอยู่ติดๆ กับบ้านนายฝรั่ง ที่โดนจูบจนปากบิดเบี้ยวนั่นแหละ เดินไปห้องน้ำอย่างงัวเงีย แต่ก็ยังมีสติสตังอยู่บ้าง ว่าเป็นคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงกระจ่างทั่วฟ้า ช่างงดงาม เพราะดึกมากแล้ว แต่จะเป็นวันพระด้วย หรือเปล่าเนี่ย! อิฉันเองก็ไม่แน่ใจนะคะ กลิ่นดอกไม้ที่ปลูกไว้หลังบ้านก็แข่งกัน ส่งกลิ่นหอมเสียจนเวียนหัว แต่ก็ชื่นใจนะคะ ลมก็พัดพอเย็นๆ ให้สบาย และก็ เข้าบรรยากาศดึกๆ ดีนัก แต่ตอนที่ จะเอื้อมมือปิดประตูห้องนอนสิคะ ไอ้ลูกกะตาเจ้ากรรมก็หันไปมองชานบ้าน ที่อยู่ติดกับบ้านที่มีนางตะเคียนอยู่หลังนั้นสิคะ อุ๊ยตาย! สาบานได้นะเจ้าคะ ว่าอิฉันไม่ได้ตาฝ้าฟางหรือง่วงนอนจนตาลาย ก็ผู้หญิงสาวสิคะ นั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่สว่างกระจ่างแจ้งออกจะปานนั้น นุ่งผ้าแบบหญิงไทยโบราณ ห่มสไบเฉียง เปิดไหล่ที่ขาวผ่อง  ผมดำขลับที่ยาว ถึงกลางหลัง น่าเอาไปโฆษณายาสระผมดีนัก เพราะผมสวยเหลือเกิน กับท่วงท่าที่ขยับมือ ใช้หวีทองหวีผมตัวเองอย่างช้าๆ  นั่นแหละ ทำให้ดิฉันมั่นใจกว่า 100% เสียอีกว่า ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ เลย อีกทั้งร่างกายของอิฉันก็มีปฏิกิริยาตอบรับ กับการเห็นครั้งนี้อย่างชัดเจน เพราะเย็นวาบตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าไล่ลามมาจนขนแขน สแตนด์ อัพ และไปหยุดอยู่ที่ศีรษะ ก็แค่ ขนหัวลุกเฉยๆ ล่ะค่ะ โชคดีที่ผมไม่ชี้ตั้ง เพราะความตกใจที่เจอนางตะเคียนแสนสวยเข้าให้ อิฉันยืนตะลึงค้างอยู่อย่างนั้นครู่นึง ก็เรียกสติกลับมา รีบปิดประตูห้องนอนปึงปัง โครมครามจนพี่มันดุเอา ก็เลยบอกพี่ว่า ฉันเจอผีหลอก ไว้พรุ่งนี้ค่อยเล่าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอนอนคลุมโปงก่อนนะ ฮือ ฮือ นางตะเคียนใจร้าย มาหยอกฉันเล่นทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะชอบเลย
   ตื่นเช้ามานะ รีบเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ท่านก็เลยซักรายละเอียด จึงถึงบางอ้อ! ว่า ตัวเองทำไม่ดีไว้ เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เอง (ไม่บอกหรอกว่าทำอะไร เค้าอายนะตัว) แม่นางตะเคียนเลยมาอบรม มาเตือน ด้วยความเอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ และเตือนสติ เราด้วย อิฉันก็เลยเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาต่อท่านซะเลย สัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้น ก็ไม่เจอ นางตะเคียนอีกเลย แล้วก็ไม่อยากจะเจอด้วย ดีนะที่เป็นผู้หญิง ไม่งั้น ปากเบี้ยว แน่เลย...บรื๋อออออออออ

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่างน้อยวันนี้เราทำดีที่สุด...

แม้ว่าเวลาของความผูกพัน มันอาจจะสั้น จนเหมือนเราไม่ได้รักกันและตอนนี้ความห่างไกลก็ได้ใกล้เรามากขึ้นเพื่อที่จะแทรกให้เราห่างกันไปทุกที......

เธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องห่างกัน ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง จนวันแล้ววันเล่า ฉันก็ยังไม่เข้าใจหรืออาจเป็นเพราะเวลาของเธอกับฉันได้หมดลงแล้ว คนบนฟ้าคงกำหนดให้เรามาพบกันแค่เท่านี้และเค้าก็ทำให้เราจากกัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่เค้าทำให้ฉันรักเธอ ทำไมเค้าถึงไม่ทำให้ฉันแค่รู้จักเธอเท่านั้นนะ

ถ้าฉันรู้อะไรล่วงหน้า ว่ามันจะเป็นแบบนี้ สาบานได้ ฉันจะไม่รักเธอแม้สักนิดเดียว
มันช่างทรมานเหลือเกินกับความรู้สึกที่ฉันเป็น ฉันเสียใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้.......
การสูญเสียครั้งนี้ฉันจะเรียกร้องจากใคร

(บางทีคนเราก็ต้องการระยะห่าง...เพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้าคนนั้น)

มันช่วยฉันได้มาก แล้วตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งต่างที่ผ่านมา ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับฉัน
ฉันคงเข้าข้างตัวเองที่คิดไปว่า..... อาจเพราะ คนบนฟ้าอาจกำลังสงสัย เราสองคนอยู่ ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า

เค้าเลยทดสอบให้เราห่างกัน แยกเราไปคนละทาง เพื่อทดสอบว่า ถ้าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ช่วงเวลาที่รอนั้น จะเป็นตัววัดความรู้สึก และพิสูจน์ความแข็งแรงของความรักวัดการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย กับการอดทนด้วยเงื่อนไขเวลาของการห่างไกล

เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้รู้ว่าเราได้เลือกถูกคนหรือไม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กับการต้องทำหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่คอยเข้ามาทำให้ไหวหวั่นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน
ความห่างไกลจึงเหมือนเป็นตัววัดปริมาณความรักของเรา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้ เราจึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เราคิดไปล่วงหน้า ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้และถ้าเธอจะอยู่ หรือเธอจะไป จะรักกันมากขึ้น หรือน้อยลง ก็จะเป็นเพราะเราสองคน
คงไม่ใช่ความต้องการของฉันฝ่ายเดียว หรือเธอฝ่ายเดียว

(คงจะไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวและเลวร้ายไปกว่า การยอมรับความรู้สึกตัวเอง อีกแล้ว........ใช่มั๊ย)

วันนี้ฉันจึงมีความสุข ถึงแม้ว่าเราจะห่างกัน แต่อย่างน้อย ฉันก็ไม่เสียใจ ในสิ่งที่ฉันทำ
แต่ฉันคงจะเสียใจแน่ๆ หากฉันไม่ได้ทำ

นั่นก็คือ การได้รักเธอ.......มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน

สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฉันมีความทรงจำที่ดี ระหว่างเรา
ฉันจึงมีเรื่องให้นึกถึงวันดีดีมากมาย และฉันก็ได้ยิ้มให้กับความทรงจำนั้น
จน ณ ตอนนี้ จนถึงวันนี้ จึงรู้แล้วว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราทั้งสองต้องเรียนรู้ และเผชิญหน้ากับมัน

อาจจะลำบาก เหน็ดเหนื่อย แต่เชื่อฉันนะ ว่าสักวันความฝันเราต้องเป็นจริง
ฉันมีความหวังตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ เพราะความหวังของฉันนั้นมันเป็นสิ่งที่มีค่า
ทำให้ฉันมีจุดมุ่งหมาย เผื่อสักวันอาจจะได้เป็นดังหวัง เมื่อฉันเป็นคนเริ่มต้น ฉันก็อยากจะเป็นคนทำให้มันจบ

ถึงแม้ว่าการได้รักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงที่จะเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดถ้าชีวิตนี้ ฉันไม่เสี่ยงอะไรเลย

ถ้า”รัก” เริ่มต้นที่คนสองคน ผูกพันกัน เข้าใจกัน ต่างต้องการอยากที่จะร่วมทางเดินด้วยกัน

วันนี้ฉันก็อยากจะให้เรา “ไว้ใจ” กัน เพราะแน่นอน เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้ว ก็คงไม่ต้องกลัวอะไรวันต่อไปของเราก็คงจะดีเอง...
และฉันก็พอใจ กับสิ่งที่ได้รับในเวลานี้ ฉันมีความสุขที่ได้รัก รักในสิ่งที่ฉันเป็น
รักในทุกความรู้สึกดีดีที่ได้รับจากทุกคน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
และฉัน....................รักในสิ่งที่หัวใจฉันต้องการ....สำหรับฉันจึงไม่ต้องการอะไรมากมาย

ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองช่างเป็นผู้หญิงโชคดีเหลือเกิน ที่ฉันโชคดีที่มีคนที่รักฉัน
และฉันก็รักเค้า กับผู้ชายอย่างเธอ ทั้งที่บางครั้งเธอเองก็อาจคิดว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร

แต่อย่างน้อยวันนี้เธอดีกับฉัน ฉันจึงไม่สนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไร และ ถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเรา อาจจะไม่เป็นดังที่เราหวังเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะไปไม่ถึงฝัน...................

“ฉันรักเธอ” และอยากให้เธอมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้น จะไม่ได้หมายถึงว่ามีฉันอยู่ด้วยก็ตามและหากความจริงเราต้องจากกันไปจริงๆ ฉันรับประกันได้เช่นกันว่า..
ถ้าวันนี้ฉันไม่ขอร้องให้เธอมาเป็นของฉัน ฉันจะต้องเสียใจ ไปจนตราบชีวิตฉันจะหาไม่
เพราะฉันรู้หัวใจฉันดีว่า เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจฉันตลอดมา

อยากบอกทุกคนว่า ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทั้งหมดไม่มีใครที่เกิดมาสมบูรณ์แบบ วันนี้เราควร ”ปล่อยวาง” เพื่อให้หัวใจไม่บอบช้ำนานเกิน
จนกลายเป็นแผลในใจที่คอยทำร้ายตัวเอง....

มีความสุขกับความเป็นจริงวันนี้เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มีโอกาส............

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หยิน หยาง เซ็กส์

หยินหยาง เป็น ศาสตร์สืบทอดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทางวิทยาศาสตร์ แม้จะมีหลายอย่างที่อธิบายได้ แต่ก็ยังมีความลับบางประการที่ยังเป็นปริศนา โดยเฉพาะ ในเรื่องของพลังชีวิตที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ หลายท่าในการเสพสุข อาจมีความใกล้เคียงกับท่ายอดนิยมที่เราคุ้นเคย แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะยังมี เรื่องของความถี่ในการซอย และท่าต้องยกเว้นที่ไม่ควรหลั่ง ซึ่งทั้งหมดนี้นำมาทั้งผลอันเริงรมย์ และสุขภาพ และนี่คือ หยินหยาง 9 ท่า
จักจั่นสนั่นลีลา ผู้หญิงนอนคว่ำหน้า ใช้หมอนหนุนช่วงหน้าท้องเพื่อยกก้น ผู้ชายประกบด้านหลังในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สอดใส่และซอยเป็นเซต สลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
นกกระสาพากระสัน ผู้ชายนั่งแยกขาบนพื้น หรือเก้าอี้ ผู้หญิงนั่งคร่อมบนตักในลักษณะหันหน้าประกบ เมื่อสอดใส่แล้ว ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายโยก ในขณะที่ฝ่ายชายสวมกอด ท่านี้ผู้หญิงสามารถควบคุมการเสียดสีภายในได้ตามถนัด และยังถึงจุดสุดยอดได้หลายครั้ง ซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
มังกรนอนสังวาส ผู้หญิงนอนหงาย ให้หลังติดเตียง แยกขาทั้งสองข้าง ฝ่ายชายนอนประกบให้ส่วนหน้าของร่างกายแนบชิดมากที่สุด และสวมใส่ ซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง ท่านี้ไม่เหมาะกับการหลั่ง
ปลาคู่ชู้ชื่น ผู้ชายนอนหงาย ให้หลังติดพื้น ชันเข่าเล็กน้อย ฝ่ายหญิงขึ้นคร่อม และจัดการสอดใส่ จากนั้นทอดตัวช่วงบนลงนอนประกบฝ่ายชาย และซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
ลิงลมสมเสพ ผู้หญิงนอนหงาย ยกช่วงขาขึ้นพาดบ่าผู้ชายในขณะที่เขานั่งคุกเข่าและสอดใส่ จากนั้นใช้สองมือคร่อมค้ำพื้น ฝ่ายหญิงใช้สองมือจับแขนของฝ่ายชายให้มั่น แล้วทำหน้าที่ซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
วิหคฉกสวรรค์ ผู้หญิงนอนหงาย ชันตัวสี่สิบห้าองศาในท่าสบายด้วยการวางข้อศอกและช่วงหลังบนหมอน ผู้ชายนั่งคุกเขา รวบขาของผู้หญิงยกขึ้นตั้งฉาก สอดใส่และซอยอย่างนุ่มนวลเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
กระต่ายหมายโรมรัน ผู้ชายนอนหงาย ชันตัวขึ้นเล็กน้อย ผู้หญิงขึ้นนั่งหันหลัง จัดการสอดใส่ และซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
เต่าสะดุ้งผักบุ้งกระเทือน ผู้หญิงนอนหงาย งอเข่าและยกขาขึ้นจนปลายเข่าชนทรวงอก ผู้ชายคุกเข่าประกบ สอดใส่และซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง
พยัคฆ์ซุ่มขยุ้มนารี ผู้หญิงอยู่ในท่าคลาน สองมือค้ำพื้น ผู้ชายนั่งคุกเข่าประกบจากทางด้านหลัง สอดใส่และซอยเป็นเซตสลับกันเพื่อความสมดุลระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง

YIN & YANG SEX TIPS
• ทุกท่าไม่มีการสอดใส่ทางทวาร ในท่าเข้าข้างหลัง คือการที่อวัยวะเพศของผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศของผู้หญิงจากทางด้านหลัง
• ท่าโดยส่วนใหญ่ ผู้ชายทำหน้าที่หลักคือประคองการสอดใส่  โดยฝ่ายหญิงเป็นคนเคลื่อนไหว และบังคับการซอย
• ยิ่งผู้ชายอดทนได้นานเท่าไหร่ ผู้หญิงก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น  เพราะสามารถถึงจุดสุดยอดได้หลายครั้ง
• การ ซอยเป็นเซตระหว่าง เซต A ซอยหกครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริม ธาตุหยิน และเซต B ซอยเก้าครั้งแล้วหยุดเพื่อเสริมธาตุหยาง  ควรทำสลับกันเพื่อความสมดุลของ พลังชีวิต

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คิดถึง

ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้งก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน

บางครั้งการได้ฝันไปคนเดียว
มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด
มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว

ฉะนั้นไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่
เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า
ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...

เราอาจเป็นที่ 2
ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า...
ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย

แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า
"ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว"
โปรดห้ามใจเถอะ
ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...
ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน
ไม่ต้องการความพยายาม

"การตัดใจ"ต่างหาก
ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า
ความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน
แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย
ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...

ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...
ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้ม
ของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง...
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...
และร้องไห้ได้มากมาย...

คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...
ให้กลายเป็นวันที่สดใส
เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?

แค่การได้เห็นคนที่เรารัก
ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคน
ที่เค้ารักมากที่สุด
นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก
"อย่างจริงใจ"

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เกาต์ : ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

เกาต์ : ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยรายหนึ่งในอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา กับทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลอำเภอและสถานีอนามัย ที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ผู้ป่วยรายนี้อาศัยอยู่
ผู้ป่วยเป็น ชายอายุ 50 กว่าปี นอนพักอยู่บนแคร่ ในเพิงพักที่ปลูกแยกต่างหากจากตัวบ้าน ตามเนื้อตัวมีปุ่มเกิดขึ้นหลายแห่ง บางแห่งมีผ้าก๊อซปิดไว้ เขาเล่าว่าปุ่มเหล่านี้จะหมุนเวียนกันแตกออกเป็นแผลเรื้อรัง แผลที่แตกนี้จะมีเม็ดสีขาวๆ หลุดออกมาเรื่อยๆ ต้องคอยใช้น้ำยาทำแผลอยู่นาน 3-4 เดือนกว่าจะหาย
นอกจากนี้ยังพบว่ามือ 2 ข้างของผู้ป่วยกำไม่ได้ เนื่องจากข้อนิ้วมือบวมแข็ง และข้อเข่า 2 ข้างยึดติด เหยียดตรงไม่ได้ ต้องอยู่ในท่างอเข่าตลอดเวลา ทำให้เดินไม่ได้
เมื่อ 14 ปีก่อน ชายผู้นี้เคยเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลอำเภอด้วยอาการปวดข้อ ข้อบวมอักเสบ แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ทำให้มีกรดยูริกสะสมพอกพูนตามข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ จนกลายเป็นปุ่มตามร่างกายดังกล่าว
แพทย์เล่าว่าผู้ป่วยเคยไปรักษาที่โรง พยาบาลอำเภออยู่ 2-3 ครั้ง ก็หายหน้าไปนาน 10 กว่าปี เมื่อเดือนก่อนเพิ่งกลับไปหาอีกครั้ง ขอให้แพทย์ออกใบรับรองความพิการเพื่อนำไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการ ขอเงินช่วยเหลือจากทางราชการ
เมื่อซักถามเพิ่มเติมจากผู้ป่วยและ ภรรยา จึงทราบว่าผู้ป่วยมีอาการข้ออักเสบเป็นครั้งคราว ได้ตระเวนเดินทางไปหาหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เนื่องเพราะมีความกังวลใจที่อาการไม่หายขาด มักกำเริบอยู่เรื่อยๆ หลายปีมานี้ ผู้ป่วยต้องขายที่นา 20 ไร่ (เป็นเงิน 500,000 บาท) เพื่อการรักษาตัว
ผู้ป่วยไม่มีความรู้ว่าโรคเกาต์เป็นอย่างไร และต้อง ปฏิบัติตัวอย่างไร จะไปหาหมอเมื่อมีอาการข้ออักเสบ พอได้ยารักษาเพียงไม่กี่วันอาการทุเลา รู้สึกสบายดี ก็ไม่ได้ติดตามรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง พอผ่านไปสักระยะหนึ่งข้ออักเสบกำเริบใหม่ ก็เข้าใจว่าแพทย์คนก่อนรักษาไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนโรงพยาบาลไปเรื่อยๆ
ใน ชุมชนมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับผู้ป่วยรายนี้ คือรอให้มีอาการข้ออักเสบกำเริบก็จะไปพบแพทย์ให้ยารักษา พอทุเลาดีก็ไม่ได้กลับไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นโรคเกาต์เรื้อรังและเกิดผลแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา
โรคเกาต์ เกิดจากร่างกายมีกรดยูริกอยู่ในกระแสเลือดสูงเกินปกติ เนื่องจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (ผู้ป่วยมักมีพ่อแม่พี่น้องคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ด้วย) ในช่วงที่มีระดับของกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ ซึ่งมักจะเกิดขณะกินอาหารที่ให้กรดยูริกสูง (เช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อสัตว์ปริมาณมาก พืชผักหน่ออ่อน ถั่วต่างๆ) หรือหลังดื่มเหล้าก็จะมีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบรุนแรง ถึงเดินกะเผลก ผู้ป่วยก็จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อได้ยาต้านข้ออักเสบ มากินอาการก็ดีขึ้น จนรู้สึกเป็นปกติดี ก็หยุดการรักษา
ธรรมชาติของ โรคนี้แปลก แม้ว่าจะไม่มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ แต่กรดยูริกในเลือดก็จะยังอยู่ในระดับสูงเกิน (หากแต่ไม่มากจนทำให้ข้ออักเสบ) และจะค่อยๆ เข้าไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย นานๆ เข้า ก็กลายเป็นปุ่มตามใต้ผิวหนัง ภาษาแพทย์เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus) ตุ่มนี้ถ้าแตกก็จะมีเม็ดของกรดยูริกมีลักษณะสีขาวๆ คล้ายผงชอล์กหรือยาสีฟันหลุดออกมาและกลายเป็นแผลเรื้อรังเป็นแรมเดือน แรมปี นอกจากนี้หากสะสมตามข้อและเส้นเอ็น ก็จะทำให้ข้อพิการได้ ดังกรณีผู้ป่วยรายนี้ บางรายจะมีกรดยูริกสะสมในไต ทำให้เป็นนิ่วในไต และโรคไตพิการเรื้อรังได้
การรักษาที่ถูกต้อง นอกจากกินยาต้านข้ออักเสบแล้ว ถึงแม้สบายดี ก็จำเป็นต้องกินยาควบคุมกรดยูริก (เช่น ยาเม็ดอะโลพูรินอล) ทุกวันอย่างต่อเนื่องตลอดไป และต้องคอยเจาะเลือดทุก 3-6 เดือน ตรวจดูระดับกรดยูริกว่ากลับอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ถ้ายังสูงก็ต้องปรับขนาดยาและควบคุมอาหารให้ได้ผลอย่างจริงจัง อย่างต่อเนื่อง จึงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนดังกล่าวได้
ชาย ผู้นี้ (เฉกเช่นผู้ป่วยโรคเกาต์ส่วนใหญ่) เป็นเพราะขาดความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ซึ่งถือว่าเป็นภัยเงียบหรือเพชฌฆาตเงียบ (เป็นโรคโดยไม่ปรากฏอาการชัดเจน กล่าวคือแม้ในช่วงที่ไม่มีอาการข้ออักเสบ โรคก็ยังดำรงอยู่ในร่างกาย แบบเดียวกับโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) จึงไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง จนกลายเป็นคนพิการไปอย่างน่าเสียดาย