วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เกาต์ : ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

เกาต์ : ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยรายหนึ่งในอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา กับทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลอำเภอและสถานีอนามัย ที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ผู้ป่วยรายนี้อาศัยอยู่
ผู้ป่วยเป็น ชายอายุ 50 กว่าปี นอนพักอยู่บนแคร่ ในเพิงพักที่ปลูกแยกต่างหากจากตัวบ้าน ตามเนื้อตัวมีปุ่มเกิดขึ้นหลายแห่ง บางแห่งมีผ้าก๊อซปิดไว้ เขาเล่าว่าปุ่มเหล่านี้จะหมุนเวียนกันแตกออกเป็นแผลเรื้อรัง แผลที่แตกนี้จะมีเม็ดสีขาวๆ หลุดออกมาเรื่อยๆ ต้องคอยใช้น้ำยาทำแผลอยู่นาน 3-4 เดือนกว่าจะหาย
นอกจากนี้ยังพบว่ามือ 2 ข้างของผู้ป่วยกำไม่ได้ เนื่องจากข้อนิ้วมือบวมแข็ง และข้อเข่า 2 ข้างยึดติด เหยียดตรงไม่ได้ ต้องอยู่ในท่างอเข่าตลอดเวลา ทำให้เดินไม่ได้
เมื่อ 14 ปีก่อน ชายผู้นี้เคยเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลอำเภอด้วยอาการปวดข้อ ข้อบวมอักเสบ แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ทำให้มีกรดยูริกสะสมพอกพูนตามข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ จนกลายเป็นปุ่มตามร่างกายดังกล่าว
แพทย์เล่าว่าผู้ป่วยเคยไปรักษาที่โรง พยาบาลอำเภออยู่ 2-3 ครั้ง ก็หายหน้าไปนาน 10 กว่าปี เมื่อเดือนก่อนเพิ่งกลับไปหาอีกครั้ง ขอให้แพทย์ออกใบรับรองความพิการเพื่อนำไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการ ขอเงินช่วยเหลือจากทางราชการ
เมื่อซักถามเพิ่มเติมจากผู้ป่วยและ ภรรยา จึงทราบว่าผู้ป่วยมีอาการข้ออักเสบเป็นครั้งคราว ได้ตระเวนเดินทางไปหาหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เนื่องเพราะมีความกังวลใจที่อาการไม่หายขาด มักกำเริบอยู่เรื่อยๆ หลายปีมานี้ ผู้ป่วยต้องขายที่นา 20 ไร่ (เป็นเงิน 500,000 บาท) เพื่อการรักษาตัว
ผู้ป่วยไม่มีความรู้ว่าโรคเกาต์เป็นอย่างไร และต้อง ปฏิบัติตัวอย่างไร จะไปหาหมอเมื่อมีอาการข้ออักเสบ พอได้ยารักษาเพียงไม่กี่วันอาการทุเลา รู้สึกสบายดี ก็ไม่ได้ติดตามรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง พอผ่านไปสักระยะหนึ่งข้ออักเสบกำเริบใหม่ ก็เข้าใจว่าแพทย์คนก่อนรักษาไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนโรงพยาบาลไปเรื่อยๆ
ใน ชุมชนมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับผู้ป่วยรายนี้ คือรอให้มีอาการข้ออักเสบกำเริบก็จะไปพบแพทย์ให้ยารักษา พอทุเลาดีก็ไม่ได้กลับไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นโรคเกาต์เรื้อรังและเกิดผลแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา
โรคเกาต์ เกิดจากร่างกายมีกรดยูริกอยู่ในกระแสเลือดสูงเกินปกติ เนื่องจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (ผู้ป่วยมักมีพ่อแม่พี่น้องคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ด้วย) ในช่วงที่มีระดับของกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ ซึ่งมักจะเกิดขณะกินอาหารที่ให้กรดยูริกสูง (เช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อสัตว์ปริมาณมาก พืชผักหน่ออ่อน ถั่วต่างๆ) หรือหลังดื่มเหล้าก็จะมีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบรุนแรง ถึงเดินกะเผลก ผู้ป่วยก็จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อได้ยาต้านข้ออักเสบ มากินอาการก็ดีขึ้น จนรู้สึกเป็นปกติดี ก็หยุดการรักษา
ธรรมชาติของ โรคนี้แปลก แม้ว่าจะไม่มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ แต่กรดยูริกในเลือดก็จะยังอยู่ในระดับสูงเกิน (หากแต่ไม่มากจนทำให้ข้ออักเสบ) และจะค่อยๆ เข้าไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย นานๆ เข้า ก็กลายเป็นปุ่มตามใต้ผิวหนัง ภาษาแพทย์เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus) ตุ่มนี้ถ้าแตกก็จะมีเม็ดของกรดยูริกมีลักษณะสีขาวๆ คล้ายผงชอล์กหรือยาสีฟันหลุดออกมาและกลายเป็นแผลเรื้อรังเป็นแรมเดือน แรมปี นอกจากนี้หากสะสมตามข้อและเส้นเอ็น ก็จะทำให้ข้อพิการได้ ดังกรณีผู้ป่วยรายนี้ บางรายจะมีกรดยูริกสะสมในไต ทำให้เป็นนิ่วในไต และโรคไตพิการเรื้อรังได้
การรักษาที่ถูกต้อง นอกจากกินยาต้านข้ออักเสบแล้ว ถึงแม้สบายดี ก็จำเป็นต้องกินยาควบคุมกรดยูริก (เช่น ยาเม็ดอะโลพูรินอล) ทุกวันอย่างต่อเนื่องตลอดไป และต้องคอยเจาะเลือดทุก 3-6 เดือน ตรวจดูระดับกรดยูริกว่ากลับอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ถ้ายังสูงก็ต้องปรับขนาดยาและควบคุมอาหารให้ได้ผลอย่างจริงจัง อย่างต่อเนื่อง จึงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนดังกล่าวได้
ชาย ผู้นี้ (เฉกเช่นผู้ป่วยโรคเกาต์ส่วนใหญ่) เป็นเพราะขาดความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ซึ่งถือว่าเป็นภัยเงียบหรือเพชฌฆาตเงียบ (เป็นโรคโดยไม่ปรากฏอาการชัดเจน กล่าวคือแม้ในช่วงที่ไม่มีอาการข้ออักเสบ โรคก็ยังดำรงอยู่ในร่างกาย แบบเดียวกับโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) จึงไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง จนกลายเป็นคนพิการไปอย่างน่าเสียดาย

การบำรุงสมรรถภาพทางเพศ


สมรรถภาพเพศชายในทัศนะจีน
เป็นข่าวเกรียว กราวกันทั่วโลก เมื่อมีการค้นพบยาที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ผู้ชายทั้งหลายที่มีปัญหาหรือคิดว่าอยากจะเสริมสร้างสมรรถภาพของตนเอง ให้แกร่ง ต่างพยายามขวนขวายซื้อยา แม้ว่าจะมีราคาแพงลิบลิ่ว แต่ก็คิดว่ามันคุ้มค่า เมื่อไม่นานมานี้ สมุนไพรไทย เช่น กวาวเครือก็มีผู้คาดหวังไว้มากว่า นอกจากจะช่วยให้ผู้หญิงมีน้ำมีนวล มีหน้าอกที่เต่งตึง กวาวเครือบางชนิดจะสามารถเสริมสมรรถภาพทางเพศแก่เพศชาย จึงมีการพยายามโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการบริโภค เพื่อผลทางการค้า โดยไม่ค่อยได้คำนึงที่โทษหรือผลเสียที่จะเกิดจากการบริโภคยาเหล่านั้น จริงอยู่ อาจมีการศึกษาวิจัยบางอย่างที่บ่งบอกถึงข้อดีที่เกิดจากการใช้ยา(ไม่ว่าจะ เป็นยาสังเคราะห์หรือยาสมุนไพร) แต่วิธีพิจารณาผลของยาเฉพาะที่ เฉพาะผลบางอย่าง โดยไม่พิจารณาผลอันเกิดจากองค์รวมของยาที่มีต่อร่างกายทั้งระบบ นับว่าอันตรายอย่างมาก ดังที่จะได้ทราบรายงานจากผู้ใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่ลือชื่อบางตัว อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายถึงแก่ความตายได้ ในทัศนะของแพทย์แผนจีนได้อธิบายปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศทั้ง ด้านสาเหตุและการดูแลรักษาไว้ ดังนี้
สมรรถภาพทางเพศเกี่ยวข้องกับไต (ในความหมายของแพทย์แผนจีน)
ไต ในทัศนะแพทย์แผนจีนมีหน้าที่เก็บสารจิง (น้ำอสุจิ+ตัวอสุจิ) และเกี่ยวกับการเจริญเติบโต การควบคุมการทำงานของระบบต่างๆของร่างกายให้ประสานสอดคล้องกัน เป็นแหล่งให้พลังงานแก่ระบบต่างๆ เช่น ระบบย่อย ระบบการหายใจระบบขับถ่าย ฯลฯ ให้ทำงานได้ตามปกติ เสมือนกับเป็นพลังงานทุน ดั้งเดิมที่ได้มาแต่กำเนิด(เรียกว่าไฟมิ่งเหมิน*) มีหน้าที่ควบคุมความเสื่อมถอยของร่างกาย สารจิงที่สะสมไว้ที่มิ่งเหมิน มีหน้าที่สำหรับการสืบพันธุ์ (มีสารกรรมพันธุ์บรรจุอยู่)
* มิ่งเหมิน หมายถึงประตูชีวิต ซึ่งอยู่ระหว่างบริเวณไตสองข้าง เป็นที่พักของสารจิงในผู้ชาย หรือที่พักของสิ่งกำเนิดตัวอ่อนในผู้หญิงหรือไข่
กระบวนการเกิด การเจริญเติบโต ความเสื่อมถอยของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสืบพันธุ์ การเติบโตของกระดูก การงอกของฟัน การเติบโตของอวัยวะเพศ การมีเต้านม การมีประจำเดือน การมีผม การเติบโตของร่างกาย การหมดประจำเดือน การมีผมขาว ความเสื่อมทางเพศ การหลุดหักของฟัน ความชราหลังโก่ง เข่าอ่อนแรง ฯลฯ ล้วนเป็นภาวะแสดงออกถึงการแข็งแรงและเสื่อมทรุดของไต ดังนั้น ระบบไตของจีนไม่ได้ มีความหมายถึงตัวไตทั้ง ๒ อันที่ เป็นอวัยวะภายในที่อยู่ตำแหน่งบริเวณเอวทั้ง ๒ ข้างเท่านั้น แต่มีความหมายครอบคลุมถึงต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมเพศ ต่อมหมวกไต ฯลฯ และรวมถึงระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system) ซึ่งเป็นระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายใน เพื่อให้สอดคล้องกับการกระตุ้นจากภายนอก โดยไม่อยู่ใต้การบังคับของอำนาจจิตใจ การที่ไตเป็นตัวเก็บและสร้างสารจิง และเป็นแหล่งพลังงานดั้งเดิมที่เป็นทุนสำรองที่ได้จากพ่อและแม่ (ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์) เป็นตัวที่กำหนดความเจริญเติบโตและความเสื่อมถอยของร่างกาย ทัศนะเกี่ยวกับการดูแลถนอมไตจึงมีความสำคัญมาก ดังนั้น เรื่องของเพศสัมพันธ์และการหลั่งสารจิง จึงมีความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพอย่างแยกไม่ออก


สาเหตุของความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
แพทย์ แผนจีน มีความเชื่อว่า สารจิงของไต เป็นส่วนสำคัญในการเก็บพลังชีวิต ซึ่งมีความหมายถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การควบคุม การให้พลังงานของระบบต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ สารจิง (มีความหมายรวมถึงอสุจิด้วย) จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกใช้ไปอย่างพร่ำเพรื่อ ความเชื่ออันนี้นำไปสู่ความคิดในเรื่องการดูแลสุขภาพไม่ให้ไตเสื่อมเร็ว จะต้องถนอมไม่ให้มีการหลั่งอสุจิ ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งดี โดยที่แพทย์แผนปัจจุบันถือว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บสามารถระบายขับออกตาม ที่ต้องการ เพราะจะระบายความเครียดในจิตใจได้ ร่างกายก็สร้างทดแทนได้อีก
ใน ขณะที่การแพทย์แผนจีนถือว่าในคนหนุ่มแน่น อาจจะระบาย หลั่งสารจิงได้ เพราะมีภาวะที่ไตยังดี และเป็นการลดภาวะที่แกร่งเกินไป แต่ถ้าเสียสารจิงไปบ่อยๆมากเกินไปจะกลายเป็นผลเสีย โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นหรือยิ่งสูงอายุ จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยง (แต่ไม่ได้ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ เพียงแต่ต้องถนอม) การหลั่งสารจิง ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมีสาเหตุสำคัญ คือ
๑. การลดลงของไฟมิ่งเหมิน
การ มีเพศสัมพันธ์ที่มีการหลั่งสารจิง (น้ำอสุจิ) รวมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองบ่อยครั้งเกินไปเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดการสูญเสียไฟของมิ่งเหมิน การทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ การขับถ่าย การสืบพันธุ์ ล้วนอาศัย ไฟจากมิ่งเหมิน ถ้าสูญเสียไฟของมิ่งเหมิน ระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมดจะลดลง ร่างกายจะเสื่อมถอยเร็วขึ้น และพลังของไตจะหมดไป
๒. การเสื่อมถอยของหัวใจและระบบม้าม
ความ เครียดกังวลและภาวะทางจิตใจมีผลต่ออวัยวะภายในหัวใจ ซึ่งในทัศนะของแพทย์แผนจีนจะหมายถึง ระบบประสาทส่วนกลางและสมองที่ควบคุมจิตอารมณ์ด้วย ความวิตกกังวลยังมีผลต่อระบบม้าม ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม ทำให้พลังงานที่ได้รับจากอาหารลดลง ผลคือ พร่องทั้งเลือดและพลัง
๓. ความตกใจเกินไปทำลายพลังของไต
บาง คนเคยมีภาวะการตกใจจากประสบการณ์ในอดีตที่รุนแรง อาจมีผลกระทบต่อไตโดยตรง ทำให้พลังไตถูกทำลายอย่างเฉียบพลัน เกิดความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศตามมา
๔. ภาวะความร้อนชื้นในร่างกายมากเกินไป
ภาวะ ร้อนชื้น มีอาการขาหนักๆ เมื่อยๆ(เหมือนมีความชื้นในส่วนล่าง) ปัสสาวะมักมีสีเหลืองไปทางเข้ม(มีความร้อน) อึดอัดแน่นในท้อง ทรวงอก กินอาหารไม่ค่อยได้ มีความอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศ กลิ่นเหม็น หมักหมมง่าย ผู้ป่วยมักมีลิ้นแดง(มีความร้อนในตัวมาก) มีฝ้าบนลิ้นสีเหลือง และมันเหนียว(มีความชื้นมากและมีความร้อนด้วย) การขาดพลังหยางของไตทำให้ไฟของมิ่งเหมินน้อยลง ระบบการทำงานของร่างกายลดลง ผลคือ เลือดและพลังพร่อง ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ขณะเดียวกันก็ขาดพลังในการควบคุมการหลั่ง ทำให้มีการหลั่งโดยอวัยวะเพศไม่แข็งตัว และสารจิงค่อนข้างใส เนื่องจากร่างกายขาดพลังและเลือดไปเลี้ยงบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าซีด เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หูอื้อ มีเสียงดัง เวียนศีรษะ ไฟมิ่งเหมินที่น้อย ทำให้ความร้อนไปเลี้ยงมือเท้าไม่ดี มือเท้าจึงเย็นผิดปกติ กลัวหนาว พลังหยางที่น้อย ทำให้เมื่อยล้าตามตัว เมื่อยเอว เข่าไม่มีแรง จะพบว่า ลิ้นซีดมีฝ้าขาว ชีพจรเร็วเบาเล็ก


การรักษา
ควรรักษาตามสาเหตุที่สำคัญ ได้แก่
๑. ถ้าเป็นไตหยางพร่องต้องอุ่นไต กระตุ้นการสร้างสารจิง เสริมหยางของร่างกาย เสริมไฟ มิ่งเหมิน
๒. ถ้าเป็นความร้อนชื้นสะสม จะต้องขับความร้อน ความเย็นบำรุงไต ควบคุมสารจิง
การปฏิบัติตัว
๑. ไม่ควรเร่งการใช้ยากระตุ้นทางเพศ เพื่อหวังผลเฉพาะหน้า เพราะเป็นการเร่งการทำงานของต่อมลูกอัณฑะ ต่อมลูกหมาก ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การสูญเสียน้ำอสุจิยัง มีผลต่อภาวะอ่อนเพลียของร่างกาย จิตใจ สมอง และความอ่อนล้าของร่างกายทั้งระบบ ถ้าการสูญเสียที่มากเกินไปย่อมทำลายสุขภาพและทำลายสมรรถภาพทางเพศ
๒. ข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์ที่บันทึกไว้ใน "เซียนจินเย้าฝาง"
- ใน ภาวะเดินทางไกลมีความอ่อนเพลีย, ภาวะที่กินอาหารอิ่มใหม่ๆ, เมาสุรา, ดีใจมากเกินไป, เสียใจมากเกินไป, ขณะที่มีไข้ ตัวร้อน, สตรีขณะมีประจำเดือน ล้วนไม่ควรมีเพศสัมพันธ์
- ถ้ามีเพศสัมพันธ์ขณะที่ท้องอิ่มมากๆ จะทำลายเลือดและพลัง
- ถ้า มีเพศสัมพันธ์ขณะที่เมาเหล้าจะทำลายพลังหยางของตับ จะทำให้น้ำอสุจิน้อยลง, มีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในสตรี ทำให้มีความต้องการทางเพศน้อยลง และจะมีเลือดเสียตกค้าง
๓. หนังสือ "เซียนจินเย้าฝาง" ได้บอกถึงกฎเกณฑ์การถนอมสุขภาพ และการมีสมรรถภาพทางเพศที่ดี ยึดหลักว่า ต้องถนอมไต คนทั่วไปเมื่อเข้าวัย ๔๕ ปี ถือว่าเข้าสู่การเริ่มต้นของความเสื่อมถอย เข้าสู่ความชราภาพ ทางแพทย์แผนจีนถือว่าวัยนี้ ชี่จิง (พลังและสารจิง) เริ่มน้อยลง พลังไตเริ่มเสื่อมถอย ในวัยนี้ยิ่งต้องระวังปัญหาเพศสัมพันธ์ เพราะมีความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีหรือความเสื่อมถอยที่รวดเร็ว
กฎเกณฑ์ คือ ห้ามการหลั่งน้ำอสุจิหรือหลั่งได้แต่พอเหมาะ


การบำรุงสมรรถภาพทางเพศ
เนื่อง จากความเสื่อมสมรรถภาพมีหลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากไตพร่อง ตับถูกอุดกั้น เลือดและพลังไม่พอจากภาวะม้ามพร่อง ความร้อนชื้นส่วนล่างของร่างกาย และพฤติกรรมที่มีการหลั่งสารจิงมากเกินไป ฯลฯ
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก ภาวะพร่องของไตเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภาวะทางจิตใจ ระบบม้ามพบได้บ้าง ภาวะความร้อนชื้นพบได้น้อย รู้ได้อย่างไรว่าไตพร่องเป็นเหตุ
๑. มีประวัติเพศสัมพันธ์มากเกินไป หรือประวัติการหลั่งสารจิง (น้ำอสุจิ) ไม่ว่าวิธีใดมากเกินไป
๒. มีประวัติการเจ็บไข้ยาวนานเรื้อรัง
๓. ร่วม กับมีการที่แสดงออกว่าไตพร่อง คือ ปวดเมื่อยเอว น้ำอสุจิน้อย อ่อนเปลี้ยทางร่างกายและจิตใจ ขี้ลืม ผมร่วง ในสตรีมีประจำเดือนผิดปกติ ความต้องการทางเพศลดลง ถ้ามีภาวะไตหยางพร่องมากจะพบ มีอาการกลัวความเย็น มือเท้าเย็น กินอาหารน้อยลง ความรู้สึกของการรับรสชาติอาหารจะจืด ไม่กระหายน้ำ ปัสสาวะใส กลางคืนจะปัสสาวะบ่อย
๔. คลำชีพจรตำแหน่งไต จะพบว่าอ่อนแรง ตัวลิ้นมีลักษณะโตนุ่ม
การ บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ต้องดูสาเหตุเป็นหลัก และบำรุงให้ถูกกับสภาพร่างกาย ที่สำคัญต้องเน้นการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง และถนอมไตอย่าให้พร่อง จะเห็นว่า ทัศนะการแพทย์แผนจีนมองเรื่องสมรรถภาพทางเพศเกี่ยวข้องกับสุขภาพองค์รวม เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่มีกฎเกณฑ์เป็นธรรมชาติ โดยยึดหลักจะต้องถนอมสารจิงไว้ ไม่ปล่อยสารจิงอย่างพร่ำเพรื่อ การเก็บสารจิงในตัวไว้ได้นาน นอกจากจะไม่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวา มีสมรรถภาพทางเพศที่ดีด้วย ขณะเดียวกันต้องรักษาปัญหาสุขภาพร่วมไปด้วย ทัศนะนี้ต่างจากความคิดของการแพทย์ตะวันตกที่มองเรื่องของเพศในเชิงบริโภค นิยม แสวงหาความสุขโดยมองแต่ผลเฉพาะหน้าที่ได้ เร่งการทำงานของระบบเพศด้วยยาหรือสิ่งกระตุ้น โดยไม่พิจารณาสุขภาพองค์รวม และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ในที่สุดเมื่อสภาพร่างกายเสื่อมทรุด การกระตุ้นม้าที่อ่อนเพลียเต็มที่แล้วก็จะเกิดผลเสียและอาจเกิดอันตรายต่อ ชีวิตได้
ปรัชญาการแพทย์จีนเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ ดูเหมือนจะขัดกับความรู้สึกสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่เป็นวิธีการถนอมสุขภาพและรักษาสมรรถภาพทางเพศที่ดี โดยเป็นธรรมชาติและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด ทัศนะการเชื่อมโยงดูแลสุขภาพองค์รวมกับเรื่องของเพศ จึงขัดกับทัศนะการบริโภคนิยมที่หวังการมีความสุขเฉพาะหน้า แต่สร้างปัญหาระยะยาว การบริโภคยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ไม่ว่ายาสมุนไพรหรือยาสังเคราะห์ จึงต้องพิจารณารักษาสภาพร่างกายร่วมด้วย ขณะเดียวกันจะต้องไปปรับเปลี่ยนทัศนะและการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับเรื่องเพศให้ เหมาะสม จึงจะสร้างความสุขที่ถาวรยั่งยืน


อาหารที่มีสรรพคุณบำรุงไตในทัศนะจีน
อาหารบำรุงไต
คัมภีร์ "เสิ่นหนงเปิ่นเฉ่าจิง" ได้บรรยายสรรพคุณของยาบำรุงไตว่า "จะเพิ่มบำรุงให้ไตแข็งแรง เพิ่มสารจิง เสริมการทำงานของหยาง ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ"
อาหาร
- อาหารจากพืชผักต่างๆ ได้แก่ ลูกพุทราจีน เมล็ดงา น้ำผึ้ง องุ่น ลูกบัว เนื้อในของเมล็ดท้อ ถั่วลิสง ขิง หัวหอม กุยช่าย
- อาหารจากสัตว์ต่างๆ ได้แก่ กุ้ง ปลิงทะเล ม้าน้ำ เนื้อแพะ เนื้อกวาง เขากวางอ่อน
สมุนไพร ได้แก่
* (ปา จี่ เทียน)
* (ทู่ ซือ จื่อ)
* (ตู้ จ้ง)
* (ยิ่น หยาง ฮว่า)
* (บู่ กู๋ จื่อ)
* (ตง ฉง เซี้ย เฉ่า) ฯลฯ
หมายเหตุ
- อาหารสมุนไพรส่วนใหญ่จะมีความอุดมของวิตามินแร่ธาตุ เช่น สังกะสี แมงกานีส เหล็ก ไขมัน ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสารจิง
- ยาสมุนไพรมักมีคุณสมบัติร้อน บำรุงช่วงล่างของร่างกาย เพิ่มการทำงานและเพิ่มพลังความร้อนของระบบต่างๆ ของร่างกาย
- สัตว์ มักเป็นสัตว์ทะเล หรือสัตว์ที่มีคุณสมบัติหยาง
- การปรุงรสอาหารจะเน้นไปทางเค็ม เช่น เกลือ ร่วมกับรสเผ็ดร้อน เช่น ขิงและหัวหอม

มาจัดระเบียบตัวเองใหม่ในวันเข้าพรรษา



1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก ปัญญาและ ความกล้าหาญ
3. เพื่อนใหม่ คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน เพื่อนเก่า คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4. อ่านหนังสือธรรมะปีละเล่ม
5. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6. พูดคำว่า ขอบคุณ ให้มากๆ
7. รักษา ความลับ ให้เป็น
8. ประเมินคุณค่าของการ ให้อภัย ให้สูง
9. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่าเป็นจริง
11. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.อย่าถกเกียงธุรกิจภายในลิฟต์
14.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.อย่าหยิ่งหากจะกล่าว ขอโทษ
16.อย่าอายหากจะบอกใครว่า ไม่รู้
17.ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
19.การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
20.คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
21.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
25.เหรียญเดียวมีสองหน้า ความสำเร็จ กับ ล้มเหลว
26.อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
27.ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
29.ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
30.ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
31.ทุกชิ้นงานต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีน บันไดสูง
34.มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552